บ๊ายบาย มายบิ้กสโตร์ - บ๊ายบาย มายบิ้กสโตร์ นิยาย บ๊ายบาย มายบิ้กสโตร์ : Dek-D.com - Writer

    บ๊ายบาย มายบิ้กสโตร์

    เรื่องของเหล่าชายหนุ่มที่เข้าไปตามหาร้านของเล่นในห้างใหญ่ธรรมดา แต่พอเข้าไปจริงๆ มันกลับไม่ใช่ห้างธรรมดาๆซะแล้ว...

    ผู้เข้าชมรวม

    238

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    238

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  ตลก-ขบขัน
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 พ.ย. 51 / 23:09 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เรื่องของเหล่าชายหนุ่มที่เข้าไปตามหาร้านของเล่นในห้างใหญ่ธรรมดา แต่พอเข้าไปจริงๆ มันกลับไม่ใช่ห้างธรรมดาๆซะแล้ว...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
                  บรึม บรึม บรึม !!
                  เสียงกระบอกสูบขนาดสองร้อยห้าสิบซีซีร้องคำรามผ่านท่อไอเสียแต่งพิเศษดังกึกก้อง ตะโก้ ลูกยายนิด หรือนิคเนม 'ไอ้แดง แรงเกินร้อย'หนุ่มหน้าบากควบม้าศึกคู่ใจนามคาวาซากิ เคแอลเอกซ์ห้อทะยานไปบนท้องถนน ด้วยสีหน้าท่าทีประดุจฮีโร่หน้ากากตั๊กแตนบึ่งแมงกะไซไปปราบเหล่าร้าย ต่างกันก็เพียงเป้าหมายของเขาไม่ใช่องค์การชั่วร้ายเช่นในหนัง หากแต่เป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางกรุง แหล่งบันเทิงครบวงจรของคนรุ่นใหม่ต่างหาก
                  ห้างสรรพสินค้าชื่อดังอันเป็นเป้าหมายของเขาในวันนี้ แม้จะเคยผ่านมาหลายรอบแต่เขาก็ไม่เคยได้เหยียบย่างเข้าไปเนื่องด้วยพิษการขาดสภาพคล่องทางการเงิน อันคล้ายว่าจะเป็นโรคประจำตัวสุดฮิตของคนยุคนี้ไปเสียแล้ว แต่เหตุที่วันนี้เขาจำต้องไปเยือนแดนดินถิ่นวิไลให้ช้ำใจเล่น มันก็ย่อมต้องมีเหตุของมันอยู่
                  เรื่องมันเริ่มขึ้นจากเสียงโทรศัพท์ที่ลากเขาขึ้นจากที่นอนเมื่อเช้า พร้อมกับเสียงหนักแน่นที่เปล่งออกมาจากปลายสายว่า
                  'วันนี้เที่ยงมาเจอกันประตูน้ำ ไม่งั้นหนี้ที่ติดไว้มันจะกลายสภาพไปเป็นรถของเอ็ง'
                  ด้วยสำเนียงเสียงทุ้มแน่น และวาจาที่เปี่ยมพลังนี้ เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าปลายสายเป็นใคร            
                  หลังจากฝ่าการจราจรที่หนาแน่นมาได้ ตึกใหญ่โตรโหฐานก็ตระหง่านอยู่ที่เบื้องหน้าสายตาเขา หนุ่มหน้าบากหลังจากจัดแจงจอดรถสุดรักไว้ที่ชั้นใต้ดินเรียบร้อย ยังไม่ทันได้เข้าไปในตัวห้างก็ได้พบกับคนกลุ่มหนึ่งที่มารอเขาอยู่ที่หน้าประตูอยู่แล้ว ซึ่งในจำนวนนั้นมีชายกลางคนหน้าตายิ้มกริ่ม แต่แฝงไว้ด้วยรังสีอำมหิตอย่างที่ไม่อาจมีใครเสมอเหมือนอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่ดึงเขาออกจากโลกแห่งความฝัน มายังสถานที่นี้นี่เอง
                  'ไงไอ้แดง ไม่ได้เจอกันซะนาน นี่ถ้าข้าไม่เรียก เอ็งคงไม่คิดจะออกมาเจอหน้าเพื่อนฝูงเลยล่ะสิ ?'
                  ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนฟังเย็นวูบวาบมากกว่าความอบอุ่น
                  'โธ่ลุง ก็ยุคนี้น้ำมันแพง ผมไปไหนมาไหนบ่อยๆก็เปลืองน้ำมันแย่สิ นอนกลิ้งๆอยู่บ้านเนี่ยประหยัดสุดแล้ว !'
                  'เออดี ถ้าประหยัดได้ขนาดนี้งั้นคงมีเงินจะมาใช้ข้าแล้วสิ ไหนล่ะ ?'
                  หนุ่มหน้าบากยิ้มแหยๆ แบะมือทำท่า 'เค้าม่ายมี' ด้วยท่าทางกวนๆ พลางบ่นพึมพำ แหม.. คนไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่ต้องเอาหนี้มาประจานกันตรงนี้ก็ได้มั้งลุง...
                  เมื่อมองดูเหล่าผู้ร่วมทางอีกสามหน่อ ก็พบว่าแต่ละคนก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าตัวเท่าไหร่เลย แต่ละคนพากันแลบลิ้นปลิ้นตา ทำหน้ายี้อยู่ข้างหลังชายกลางคน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้พวกนี้มันก็มาด้วยเหตุผลเดียวกันนี่แหละ
                  ด้วยอาญาประกาศิตของ 'ราชสีห์ ไพรีพินาศ' ชายวัยกลางคนผู้มั่งมี เจ้าของกิจการซ่อมยานยนต์รายใหญ่ของเมืองกรุง ใครเล่าจะกล้าขัด ด้วยว่าแต่ละคนต่างรู้ดีว่าวันหน้ายังต้องพึ่งพากันอีกเยอะ ขืนมีปัญหาจะพากันซวยไปหมด
                  เมื่อสอบถามถึงสาเหตุที่เรียกระดมพลกันมาวันนี้ ก็ได้ความว่าชายวัยกลางคนต้องการมาซื้อของชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าร้านมันอยู่ส่วนไหนในอาคารใหญ่นี้ เลยเรียกรวมพลกันมาเพื่อให้ช่วยกันค้นหาของที่ว่ามาให้จงได้
                  'แค่จะซื้อของขวัญให้ลูกนี่ ต้องถึงขนาดยกพวกกันมาค้นห้างเลยเรอะลุง เวอร์ไปแล้วม้าง'
                  หนุ่มหน้าบากบ่นกระปอดกระแปด ก่อนจะโดนเขกกบาลไปซะหนึ่งที จากนั้นชายวัยกลางคนก็อธิบายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจังว่า
                  'เอ็งมันไอ้เด็กบ้านนอกไม่รู้อะไร ห้างนี้น่ะมันไม่ใช่ธรรมดานาว้อย ข้างนอกเห็นมันใหญ่ขนาดนี้ ข้างในมันยังใหญ่กว่าที่เราเห็นกันอีก ที่สำคัญตอนนี้มันกำลังอยู่ระหว่างต่อเติม ข้างในโดนแบ่งโดนกั้นเป็นโซนนู่นนี่ วันก่อนข้าลองเข้าไปแล้วมันยังกะเขาวงกต อย่าว่าแต่จะหาของเลย ขนาดจะหาทางกลับออกมายังแทบแย่ เพราะงั้นวันนี้เพื่อความไม่ประมาทเลยต้องเรียกพวกเอ็งมานี่ไง ถ้ามาคนเดียวแล้วหาไม่เจอ ก็เน้นพวกเยอะเข้าว่า มากันตั้งหลายคนมันก็ต้องมีเจอกันมั่งซักคนแหละวะ'
                  'แล้วมันจะไม่กลายเป็นพากันหลงยกกำลังห้าเรอะลุง ?'
                  'เฮ้ย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพราะถ้ามีคนหลงก็ต้องมีคนรอด แบบที่สุภาสิตว่าไง รวมกันตายหมู่ แยกกันอยู่ตายทีละคน !'
                  หนุ่มหน้าบากอยากจะถามว่าลุงไปสรรหาสุภาษิตนี่มาจากชาติไหน แต่ก็คิดว่าถามไปก็เท่านั้น คนระดับราชสีห์ ไพรีพินาศ หากยอมเชื่อฟังที่ชาวบ้านแย้งกันง่ายๆก็คงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นแมวสามสี ไพรีเริงร่าแทนแล้ว
                  'เอ้า คราวนี้คนมากันครบแล้วก็เริ่มกันซักที เป้าหมายคือร้านขายของเล่นที่มีตุ๊กตาตัวการ์ตูนตัวโตๆตั้งหน้าร้าน แล้วก็อย่าลืมติดต่อมาเป็นระยะๆด้วยล่ะ ไปได้ !'
                  ชายวัยกลางคนสั่งด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น จากนั้นแต่ละคนก็พากันแยกย้ายกันไปยังส่วนต่างๆภายในห้างเพื่อค้นหาร้านขายของเล่นอันลึกลับ ราวกับทหารผ่านศึกที่บุกเข้าป่าลึกเพื่อปฎิบัติภารกิจค้นหาแหล่งกบดานของกองโจรก็ไม่ปาน
                  แต่ปฎิบัติการลับครั้งนี้ จะมีผู้รอดชีวิตกลับมาได้กี่คนกัน ? 

      --------------------------=_=--------------------------



                  หลังจากได้เข้ามาถึงภายในตัวอาคารแล้ว หนุ่มหน้าบากก็เริ่มเข้าใจถึงสิ่งที่ชายวัยกลางคนพูด ภายในอาคารเวลานี้ดูไม่คล้ายกับเป็นห้างสรรพสินค้าสำหรับให้คนมาเดินจับจ่ายใช้สอยเลย ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศที่มืดครึ้มเพราะแสงไฟไม่พอ ฉากกั้นจำนวนมากที่บีบทางเดินให้เหลือเพียงทางแคบๆ หรือว่าแสงไฟวูบวาบของคนงานเชื่อมเหล็ก ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ดูคล้ายฉากแดนดึกลับในสวนสนุกซะมากกว่า
                  หนุ่มหน้ากระเดินเป๋ไปเป๋มาตามทางแคบๆที่ทอดยาว ตึกซึ่งปกติใหญ่โตอยู่แล้ว พอมากั้นฉากกั้นทางเดินแบบนี้เลยยิ่งทำให้ดูกว้างใหญ่เข้าไปอีก เขาเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ขึ้นบันไดนู้นลงบันไดนี้สะเปะสะปะ จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอร้านของเล่นที่ว่านั่นเลย ในที่สุดเขาก็ไปหยุดพักดื่มน้ำตรงตู้ขายน้ำที่เจอระหว่างทาง พอดีกับที่มีสายจากชายวัยกลางคนโทรเข้ามาพอดี
                  'โหลๆ วอหนึ่งเรียกวอสอง ทางนั้นเป็นไงมั่ง ?'
                  'ทางนี้วอสองทราบแล้วเปลี่ยน อย่าว่าแต่ร้านของเล่นเลยลุง ลูกค้าซักคนยังไม่มี ไอ้ห้างนี้มันยังมีมนุษย์แวะเวียนเข้ามาใช้บริการอยู่จริงๆเรอะ ? ดูไปยังกะฉากในเกมออนไลน์'
                  'เออน่า หาเข้ามันก็ต้องเจออะไรมั่งแหละ เมื่อกี้ทางนู้นก็มีติดต่อเข้ามาว่าเจออะไรบางอย่างแล้ว'
                  'มีคนเจอร้านที่ว่านั้นแล้วเรอะลุง ?'
                  'เปล่า ดูเหมือนมันจะไปเจอร้านเนื้อย่างลึกลับที่ซ่อนอยู่ในห้างน่ะ เห็นว่าช่วงนี้มีลดครึ่งราคาเพราะลูกค้าน้อย กะว่าไว้ซื้อของเสร็จแล้วค่อยไปกินกัน'
                  หนุ่มหน้าบากวางหูโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเซ็งๆ ซึ่งคิดว่าไอ้ร้านเนื้อย่างที่ว่าก็คงจะเซ็งไม่แพ้กันหรอก สภาพยังงี้แมวที่ไหนมันจะถ่อเข้ามาหาเนื้อกินกันเล่า กว่าจะหาไอ้ร้านเนื้อนี่เจอจะได้กลายเป็นกล่องข้าวน้อยฆ่าพนักงานห้างไปก่อนน่ะสิ
                  หลังจากได้สอบถามเหล่าสหายร่วมชะตากรรมแล้วก็พบว่าแต่ละคนก็ประสบเคราะห์กรรมไม่ต่างกัน บ้างก็หลงไปเจอทางตันหาทางกลับไม่ถูก บ้างก็หลงไปในโซนก่อสร้างจนแทบจะร่วงลงไปตาย ไอ้ที่หนักหน่อยวนไปเวียนมาจนเวียนหัวล้มตึงก็ยังมี แต่ถึงกระนั้นภารกิจก็ยังคงเป็นภารกิจ หากชีพยังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นรนตามหากันต่อไป ช่วยไม่ได้ก็ใครใช้ให้เกิดมาเป็นลูกหนี้เขาล่ะ
                  จะยังไงก็เถอะ ที่แน่ๆคราวหน้าหากเขามีอันต้องกลับมาแวะเวียนยังที่นี้อีก ก็คงต้องมีการพกเข็มทิศกับกระดาษทำแผนที่กันมั่งแล้ว...
                  หนุ่มหน้าบากโยนกระป๋องน้ำมะนาวลงถังขยะแล้วค่อยขยับตัวลุกขึ้นยืน ตนคิดว่าน่าจะได้เวลาย้ายก้นไปจากที่นี่ซักทีแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้ไปไหน ก็พลันมีเสียงเพลงญี่ปุ่นคุ้นหูดังขึ้น
                  'เซมารู... ซอคกาาาา...~'
                  'เหอ ? สายเข้า ใครโทรมาวะเนี่ย ?'
                  ไฟมือถือที่ส่องสว่างกว่าไฟห้างแสดงให้เห็นชื่อคนโทรเข้ามาอย่างชัดเจน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนึ่งในสหายร่วมชะตากรรมของเขานั่นเอง หนุ่มหน้าบากรีบกดปุ่มรับสายด้วยความยินดี อย่างน้อยเวลานี้มีคนให้คุยด้วยก็น่าจะดีกว่าอยู่เงียบๆในแดนลับแลเช่นนี้มากโขอยู่ล่ะ
                  'เป็นไงมั่งวะโจ ทางนั้นเจออะไรมั่งมั้ย ?'
                  'เออ เจอสิ เจอเยอะเลย... แต่ไม่ใช่ร้านที่ลุงแกว่านะ...'
                  หลังจากนั้นสหายร่วมชะตะกรรมก็บรรยายแต่ละสิ่งที่เขาได้พบเจอมาทีละช๊อต ทีละช๊อต เล่นเอาหนุ่มหน้าบากถือสายฟังด้วยใจระทึก เริ่มตั้งแต่ที่แยกกับลุง เข้าห้างมาไม่กี่ก้าวก็หลงทาง เหยียบถังสีลื่นล้ม กลิ้งไปโดนเหล็กเส้นทิ่ม พอโดดเหย็งๆด้วยความเจ็บปวดก็ดันไปเหยียบหางหมาของคนงานที่พาเข้ามาจนโดนไล่ฟัดแทบตกบันไดเลื่อน พอพ้นตรงนั้นมาได้ก็โดนโจรมุมห้างจี้ แต่พอโจรเห็นว่าทั้งกระเป๋ามีแค่ยี่สิบบาทก็ด่าซะไม่มีชิ้นดี จนตอนนี้ทั้งแรงกายแรงใจหมดเกลี้ยงแล้วเลยต้องโทรมาระบายความอัดอั้นกับเพื่อนฝูงอย่างที่เห็น
                  หนุ่มหน้าบากได้ฟังที่เพื่อนรักเล่ามา แทนที่ตัวเองจะได้สบายใจขึ้น ดันกลายเป็นยิ่งหดหู่หนักเข้าไปอีก หลังจากใช้ลีลาวาทศิลป์แบบเดียวกับที่ตำรวจไทยใช้กล่อมคนแบบในหนังช่วยปลอบขวัญไปชุดใหญ่เพราะเกรงว่าเพื่อนรักจะคิดสั้นไปเอาเต้าหู้โขกหัวตาย เขาก็เริ่มคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากถาม
                  'ว่าแต่ตอนนี้แกอยู่ชั้นไหน ?'
                  'น่าจะชั้นสาม แล้วแกล่ะ ?'
                  'เออทางนี้เองก็อยู่ชั้นสาม เอางี้เรามาเจอกันดีกว่า บอกตรงๆตอนนี้เดินคนเดียวในห้างนี่ชั้นชักไม่ค่อยมั่นใจซะแล้วว่ะ'
                  'ก็ดีเหมือนกัน ว่าแต่ตอนนี้ต่างคนก็ต่างหลง แล้วจะมาเจอกันยังไงล่ะ ?'
                  'ไม่ยากๆ แกก็อธิบายจุดที่แกอยู่มาว่ามันมีจุดเด่นยังไง เดินผ่านตรงไหน แล้วพอเราเอาข้อมูลที่มีมารวมกันก็น่าจะพอเดาแผนที่ของชั้นนี้ได้แล้ว แล้วจากนั้นค่อยเดินมาหากันก็ยังได้'
                  'เออๆ เอาแบบนั้นก็ได้ ตรงที่ชั้นอยู่ตรงนี้มันไกล้ร้านไก่ผู้พัน เอาเป็นว่างั้นใช้ร้านนั่นเป็นจุดสังเกตละกัน'
                  'โอเคๆ ร้านผู้พันนะ แล้วไงต่อ ทางที่แกเดินมามันมีอะไรมั่ง ?'
                  'อือ ก็มี...หืมม์.. เหอ... เฮ้ย !!'
                  เสียงกรีดร้องดังขึ้นเพียบวูบเดียวก็เงียบหาย ทิ้งไว้เพียงเสียงตู๊ดๆของสายที่ขาดห้วง หนุ่มหน้าบากเริ่มหน้าซีด หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของเขา ?
                  'อีแบบนี้มันไม่ใช่เวลามาตามหาของแล้วล่ะมั้ง ไม่ใช่ว่าโดนจับไปเรียกค่าไถ่แล้วนะ'
                  หนุ่มหน้าบากคิดได้เพียงแค่นั้นก็เปลี่ยนความคิด คงไม่มีใครที่ไหนจะบ้าขนาดจับยาจกที่มีเงินติดกระเป๋าแค่ยี่สิบไปเรียกค่าไถ่หรอก แต่ว่า... แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ ?            
                  หรือว่านี่คืออาถรรพ์ของแดนลึกลับที่จะกำจัดคนนอกไม่ให้เข้ามายุ่มย่าม ตามแบบฉบับของหนังโม้เหม็นทั่วไปกันแน่ ?
                  ยิ่งคิดยิ่งเลยเถิด เอาเป็นว่าตอนนี้รีบไปตามหาไอ้เพื่อนยากก่อนดีกว่า หนุ่มหน้าบากตัดสินใจใช้การออกแรงเดินตามหามาแทนที่ความคิดฟุ้งซ่านที่อยู่ในหัว ว่าแล้วเขาก็รีบเดิน เดิน เดิน จากช้าเป็นเร็ว จากเดินเป็นวิ่ง จนกระทั่งในที่สุดก็ได้พบกับสถานที่เกิดเหตุ
                  ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีร่องรอยความเสียหาย ไม่มีเบาะแสในที่เกิดเหตุ ไม่มีพนักงาน ไม่มี... อะไรเลย...
                  'ให้ตายเถอะโรบิน ใครก็ได้ช่วยมายืนยันให้ตูชื่นใจหน่อยเหอะวะ ว่าที่นี่มันเป็นห้าง ไม่ใช่ฉากในหนังผี !!'
                   หนุ่มหน้าบากเริ่มเสียสติ ไอ้ความเงียบวังเวงแบบนี้มันช่างชวนให้นึกถึงเกมยิงซอมบี้ที่เคยเล่นมาซะเหลือเกิน เกิดว่าผีดิบมันสะเหร่อโผล่ออกมาเดินชอปปิ้งเอาตอนนี้นี่ เขามิต้องคว้ามีดหั่นไก่มาบู๊เรอะ ?
                  หนุ่มหน้าบากหันมองดูรอบข้าง หาจนตาแทบหลุดก็ยังไม่เห็นเงาของใครซักคน มีก็แต่เพียงรูปปั้นชายชราชุดขาวที่หน้าร้าน พอมองดูคุณลุงในชุดขาวที่ยิ้มร่าอย่างใจดีนั่นแล้ว เขาแทบจะเดินเข้าไปร้องไห้บอกว่า 'ช่วยพูดกับผมที' แบบในหนังฝรั่งที่ไปดูมาไม่นานนี้เลยทีเดียว
                  ในที่สุดเขาตัดสินใจโทรไปหาลุง เผื่อว่าจะได้มาช่วยกันได้ ทว่าสิ่งที่สะท้อนกลับมาทางคลื่นโทรศัพท์ กลับมีเพียงเสียงรอสายที่ไร้การตอบสนองเท่านั้น...
                  หรือว่าแม้แต่ลุงก็สาบสูญไปแล้ว ?
                  หนุ่มหน้าบากกุมขมับ ทำไมวันหยุดที่แสนจะธรรมดาของเขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย ไอ้สถานการณ์แบบนี้มันเข้าขั้นวิกฤตเกินไปแล้วนา
                  'นี่มันเรื่องอะไรกันว้อย !!'
                  หนุ่มหน้าบากตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจที่ไร้ทางออก แต่เหมือนฟ้ายังเป็นใจ เพราะว่าการตะโกนโดยไร้เจตนาของเขาครั้งนี้ กลับทำให้ใครบางคนได้รับรู้การคงอยู่ของเขา
                  'พี่ตะโก้ พี่ตะโก้ใช่มั้ย !?'
                  เสียงที่สะท้อนกลับมานั้นคล้ายกับเป็นเสียงสวรรค์ของเขาในเวลานี้เลยทีเดียว หนุ่มหน้าบากทันไปทางต้นเสียง แม้ว่าจะมีผนังที่กั้นเป็นทางเดินขวางไว้จนมองไม่เห็นตัวคน แต่เขาก็จดจำได้อย่างแม่นยำ ว่าเจ้าของเสียงนั้นก็คือรุ่นน้องของเขา ไอ้หนุ่มหน้าตี๋ขี้โอ่ หรือนิคเนม 'ขาว จ้าววายุ' เพื่อนร่วมชะตากรรมของเขาอีกคนหนึ่ง
                  ถึงแม้จะได้ฉายาว่าจ้าววายุ แต่ก็อย่าได้เข้าใจผิดไปว่าเขาเป็นนักซิ่งระดับโลก สาเหตุที่เขาได้ฉายานี้มาก็เพราะบ้านของเขาทำธุรกิจประกอบพัดลมขายต่างหาก แถมตัวเขาเองก็ยังบ้าพัดลมขนาดหนัก ถึงขนาดสั่งทำหัวเข็มขัดพิเศษให้มีรูปร่างเหมือนพัดลมดูดอากาศมาแจกเพื่อนๆเลยทีเดียว แต่ช่างน่าเศร้าที่จนถึงบัดนี้แล้วมีคนยอมใส่อยู่แค่สามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนุ่มหน้าบาก รุ่นพี่ที่เคารพของเขานั่นเอง
                  เสียงของหนุ่มหน้าตี๋ในเวลานี้ต่างจากสำเนียงขี้เก๊กตามปกติ เพราะมันแฝงไว้ด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง ทำให้หนุ่มหน้าบากพอจะเดาได้ว่า ทางรุ่นน้องขี้เก๊กของตนเองก็คงประสบชะตากรรมที่เลวร้ายไม่แพ้ตนเหมือนกัน
                  'ไอ้ขาว ? แกเองเรอะ ? ว่าแต่อยู่ไหนวะได้ยินแต่เสียง ?'
                  'ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ เพราะผมได้ยินเสียงพี่ก็เลยตะโกนถามมานี่แหละ เอาเป็นว่าตอนนี้เรารีบๆหาทางมาเจอกันก่อนดีกว่า ขืนอยู่คนเดียวในที่แบบนี้นานๆผมมีหวังธาตุไฟเข้าแทรก สติแตกตายแน่'
                  'เออๆ ข้อนี้นี่เห็นด้วยอย่างสุดซึ้งเลยว่ะ ห้างอะไรกันวะเนี่ย เกิดมายี่สิบกว่าปีไม่เคยพบเคยเห็น เข้าห้างทียังกะบุกเข้าหุบเขาคนโฉด'
                  'แล้วตอนนี้พี่อยู่ตรงไหนล่ะ ? เผื่อผมไปถูกจะได้ไปหา'
                  'อยู่หน้าร้านไก่น่ะ มาถูกมั้ย'
                  'โอเค ร้านไก่น่ะพี่ งั้นพี่รออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวผมจะรีบ... หือ.. เฮ้ย !!?'
                  'เป็นอะไรวะไอ้ขาว ? เฮ้ย !! ไอ้ขาวววว !!'
                  สิ่งที่หนุ่มหน้าบากได้ยินในตอนนี้ มีทั้งเสียงดังโครมครามเหมือนของที่วางทิ้งไว้ถูกคนวิ่งชนระเนระนาด ผสานกับเสียงร้องโหยหวนของหนุ่มขี้เก๊ก กับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆห่างไกลออกไปเรื่อยๆ เขาไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกฟากของกำแพง เขาทราบเพียงแค่ว่าเพื่อนร่วมชะตากรรมของเขา ได้ลดลงไปอีกคนหนึ่งแล้ว... 

      --------------------------=_=--------------------------


                  'นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย... นี่ตูหลงเข้ามาในหุบเขากินคนรึยังไง แล้วแบบนี้ระหว่างไอ้พวกนั้นกับร้านของเล่นของลุงตูควรจะไปหาอะไรก่อนดีฟะ ไม่สิกรณีนี้บางทีแม้แต่ลุงแกก็อาจเดี้ยงไปแล้วเหมือนกันก็ได้... แล้วจะทำไงดีว้า ...?'
                  หนุ่มหน้าบากนั่งกุมขมับ เนิ่นนานผ่านไปยังไม่ไหวติง อาจบางทีเป็นเพราะเขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มามากเกินไป ท่าทางของเขาในเวลานี้จึงดูราวกับรูปปั้นคนครุ่นคิด ผลงานศิลปะชื่อดังระดับโลกที่เคยอ่านเจอมาในหนังสือก็ไม่ปาน
                  เวลาผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่เมื่อเพ่งจิตเป็นสมาธิแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้พบหนทางสว่าง
                  หนุ่มหน้าบากหลังจากคิดด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านแล้วคิดไม่ออกจึงเปลี่ยนไปคิดด้วยภูมิปัญญานักเล่นเกมแทน ซึ่งก็ทำให้เขาได้คำตอบว่า
                  'ตามสูตรสำเร็จในเกมผจญภัย เวลาบุกเข้าหอคอยลึกลับ เป้าหมายมักจะอยู่ในที่ๆสูงที่สุด นั่นก็แปลว่าถ้าเราขึ้นไปชั้นบนสุดก็น่าจะเจออะไรมั่งเหมือนกัน เอาเป็นว่ายังไงตอนนี้เราลองขึ้นบนชั้นบนสุดก่อนดีกว่า'
                  หลังจากงมหาเส้นทางอันแสนวกวนอยู่พักใหญ่ ในที่สุดหนุ่มหน้าบากก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาถึงชั้นบนสุดจนได้ ถึงแม้บันไดทางขึ้นจะมีป้ายเขียนไว้ว่าห้ามขึ้น แต่คนอย่างเขาเมื่อคิดจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำจนถึงที่สุด กะอีแค่ป้ายเท่านี้มีหรือจะมาขัดขวางเขาได้ ทว่าเมื่อขึ้นไปแล้วสิ่งที่เขาได้เห็นช่างแตกต่างกับที่ได้คิดเอาไว้ เพราะว่าชั้นบนสุดนี้ไม่มีไอเทมลึกลับ ไม่มีของวิเศษหรือบอสแบบในเกมที่เคยเล่นมา มีก็แต่เพียงเหล็กเส้นที่วางอยู่ระเกะระกะ ถังสีและที่โบกปูนที่ทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด แล้วก็เพื่อนของเขาที่โดนจับมัดเอาไว้เท่านั้น !
                  'ลุง ? ไอ้ขาว ? ไอ้โจ ?'
                  หนุ่มหน้าบากโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ทำไมเพื่อนของเขาที่คิดว่าแยกย้ายกระจัดกระจายกันไปถึงได้มาถูกจับมัดเอาไว้แบบนี้กัน ในช่วงเวลาที่เขาเดินท่อมๆตามหาร้านขายของเล่นที่ว่านั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
                  คนทั้งสามที่ถูกจับมัดไว้ก็สังเกตเห็นเขาเหมือนกัน ทั้งสามทำท่าเหมือนอยากโห่ร้องด้วยความดีใจ แต่เพราะปากโดนจับอุดไว้เลยได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ๆในลำคอเท่านั้น หนุ่มหน้าบากรีบเข้าไปช่วยคลายมัดคนทั้งสามออก พอเอาผ้าที่อุดปากออกได้ก็เป็นลุงที่ละล่ำละลั่กพูดออกมาก่อนว่า
                  'ไอ้แดงเอ็งมาถึงนี่ได้ไงวะ ไม่เจอไอ้พวกนั้นรึไง ?'
                  'พวกนั้นนี่มันพวกไหนลุง ?'
                  'ก็ไอ้พวกโจรที่มันจับพวกข้ามาน่ะสิวะ ไอ้พวกเวรนี่มันเห็นว่าห้างนี้ร้างคนเลยพากันมาปล้นร้านทองในนี้ พวกข้าดันไปเจอมันเข้าพอดีเลยโดนจับมามัดไว้นี่แหละ หนอย.. ไอ้พวกโจรห้าร้อยเอ๊ย !! เอ้าแล้วนั่นหยุดมือเท่าไมวะ รีบๆแก้มัดต่อสิเว้ย เดี๋ยวมันก็แห่กันมาหรอก !'
                  หนุ่มหน้าบากฟังแล้วก็รีบแก้มัดต่อหลังจากฟังลุงเล่าจนเพลินหยุดมือ แต่ใจจริงๆแอบคิดอยู่เล็กๆว่าถ้าเกิดมันจะแห่กันกลับมาก็น่าจะเป็นเพราะเสียงโวยวายของลุงเองนั่นแหละ..
                  'จะว่าไปแล้วไอ้โอ๊คล่ะลุง ? ไม่ได้โดนจับมาด้วยกันเรอะ ?'
                  'จะไปรู้มันเหรอวะ แต่ไอ้โอ๊คมันศิษย์เส้าหลิน คงไม่โดนจับมาง่ายๆหรอกน่า เผลอๆป่านนี้มันอาจกำลังไล่เตะปากไอ้พวกนั้นอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้'
                  'แต่ไอ้โอ๊คมันยิ่งเซ่อๆซ่าๆอยู่ ยังไงก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อ่ะ'
                  'งั้นเอ็งก็ไปหามันคนเดียวเหอะวะ ที่แบบนี้ขืนวิ่งไปมามั่วซั่วไปเจอพวกมันเข้า แทนที่จะรอดคราวนี้จะได้ม่องกันหมดน่ะสิวะ ใครจะไปก็ช่างแต่ข้าไม่ไปเว้ย !'
                  'โอเค สรุปคือตอนนี้เราก็ทิ้งมันไว้แล้วเผ่นกันได้เลยใช่มั้ยลุง ?'
                  'เออ ! ไว้ออกไปจากนี่ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง'
                  ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะได้ย้ายก้นไปจากที่อยู่ปัจจุบัน ก็พลันมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์ของชายวัยกลางคน เมื่อกดรับสายก็พบว่าเป็นไอ้หนุ่มเส้าหลินที่กำลังพูดถึงกันอยู่นั่นเอง
                  ชายวัยกลางคนเมื่อรับสาย สีหน้าก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ จะว่าอาฆาตก็ไม่เชิง แต่ดูๆไปแล้วคล้ายกับคนเสียสติซะมากกว่า
                  พวกที่เหลือก็ไม่ทราบว่าหนุ่มเส้าหลินคุยอะไรกับชายวัยกลางคนบ้าง พวกเขาได้เห็นเพียงภาพของชายวัยกลางคนที่ตวาดใส่หูโทรศัพท์เสียงดังจนหน้าแดงว่า
                  'ของล่งของเล่นอะไรวะ ไม่เอาแล้วเว้ย ! พอกันทีกับห้างกลางกรุง ไว้พรุ่งนี้ตูไปซื้อที่ปากซอยบ้านเอาก็ได้โว้ย !! '
                  ไม่เอาแล้วแดนดินถิ่นวิไล ไม่เอาแล้วห้างกลางกรุง
                  ลาทีแดนสนธยา บ๊ายบาย มายบิ้กสโตร์...

      --------------------------End--------------------------

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×